วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิชาภูมิปัญญาท้อง LD711

แนวคำบรรยายวิชาภูมิปัญญาท้องถิ่น LD711
สรุปนิยาม
ชุมชนและภูมิปัญญา เป็นคำที่ใช้กันมากในขณะนี้ แต่ยังขาดความเข้าใจ ทำให้นำไปสู่การพัฒนาแบบไม่เข้าใจและไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

การทำความเข้าใจความหมายของชุมชนและภูมิปัญญา จึงจำเป็นอย่างยิ่ง และต้องอาศัยการศึกษาจากภายใน

ชุมชน คือ ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนกับพื้นที่ภายใน
ภูมิปัญญา คือ ผลผลิตของคนในชุมชนที่ปรับตัวกับพื้นที่ที่อยู่อาศัย

พื้นที่ที่อยู่อาศัย มิใช่หมายถึง พื้นที่ภายในชุมชนอันเป็นที่ตั้งบ้านเรือนเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่สาธารณะ ที่คนในชุมชนมีสิทธิในการใช้ การเรียนรู้ร่วมกัน และการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ ทำให้พื้นที่นั้นเป็น “นิเวศน์วัฒนธรรม” ซึ่งเราจะสังเกตได้จากชื่อสถานที่ต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติ ที่คนในท้องถิ่นและในชุมชนเป็นผู้ตั้ง และกำหนดว่า พื้นที่ใดเป็นของใคร พื้นที่ใดเป็นของชุมชน และการใช้พื้นที่ร่วมกันควรทำอย่างไร

พื้นที่ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ คนในชุมชนจึงเกิดการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการศึกษาจากประสบการณ์จริง และลองผิดลองถูก ความรู้ของคนในชุมชนที่เรียนรู้จากธรรมชาติแวดล้อมเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นความรู้ที่เป็นความรู้ท้องถิ่น ที่บอกเล่าและถ่ายทอดต่อๆ กันมา ด้วยปากเปล่า (oral tradition) หรือถ่ายทอดผ่านกิจกรรมจากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ ความรู้ท้องถิ่นเหล่านี้ นำไปสู่การหยั่งรู้ภูมิปัญญา ยามมีเหตุชาวบ้านจะใช้ความรู้เหล่านี้แก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะความรู้ทางเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งยากที่คนภายนอก จะเรียนรู้และเข้าใจ

ปัจจุบันนี้ กระแสโลกาภิวัฒน์ ได้นำความรู้สมัยใหม่เข้าไป ทำให้เกิดการทำลายชุดความรู้ท้องถิ่นเหล่านี้ ถึงแม้จะเข้าไปแทนที่หรือเข้าได้ไม่ดีนักกับฐานความรู้เดิม (ของชาวบ้าน) แต่ชาวบ้านไม่กล้าปฏิเสธ จำต้องยอมรับความรู้ใหม่ แม้ไม่สามารถจะอธิบายตอบชุดความรู้ที่มาจากภายนอกได้

การกระตุ้นให้ชาวบ้านตระหนักเห็นคุณค่าของความรู้เดิมของเขา จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ชาวบ้านเกิดความเข้าใจและเกิดความมั่นใจ เมื่อความรู้ใหม่เข้าไปชาวบ้านจะได้มีความพร้อม สามารถรับ ปรับหรือเปลี่ยนความรู้ชุดใหม่ได้อย่างเข้าใจและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ทำให้เกิดดุลยภาพและเกิดการพัฒนา ทำให้ชุมชนเข้มแข็งและมีพลังอันเป็นกระบวนการพัฒนาจากภายใน

ภูมิวัฒนธรรม
การศึกษาสังคมไทยผ่าน “ภูมิวัฒนธรรม”

การศึกษาภูมิวัฒนธรรม (Cultural Landscape) เป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานสำคัญ อันนำไปสู่ความเข้าใจใน นิเวศวัฒนธรรม (Cultural Ecology)ของผู้คนในท้องถิ่น ซึ่งมีชีวิตวัฒนธรรม (Cultural Way of Life) ร่วมกันในชุมชนของชาติพันธุ์ (Ethnic Villages)

เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพื้นที่โดยถ่องแท้ ต้องทำความเข้าใจภูมิหลังที่มีมาแต่เดิมนับพันปีของผู้คนในสังคมชาวนา (Peasant Society) เพราะผู้คนในสังคมปัจจุบันที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีชีวิตอยู่ในสังคมอุตสาหกรรม จะไม่รู้จักและไม่เข้าใจในรากเหง้าของแผ่นดินและผู้คน เนื่องจากมองแต่สภาพแวดล้อมใกล้ตัวในปัจจุบันและอนาคต ทั้งงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ส่วนใหญ่เน้นเรื่องพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง ซึ่งเป็นการมองอดีตอย่างหยุดนิ่งและเน้นแต่เรื่องปัจจุบัน
ทุกวันนี้สภาพแวดล้อมทางภูมิวัฒนธรรมแทบทุกหนแห่งทั่วทุกภูมิภาคได้รับผลกระทบกระเทือนจากการปรับเปลี่ยนภูมิประเทศที่เคยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม อีกทั้งผู้คนท้องถิ่นก็เคลื่อนย้ายออกไปอยู่ตามที่ต่างๆ จนไม่อาจให้ข้อมูลถึงความเป็นมาในอดีตได้ เป็นสิ่งที่ทำให้การรับรู้เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมขาดหายไป
การศึกษาท้องถิ่นโดยพิจารณาความสำคัญของสภาพแวดล้อมซึ่งเชื่อมโยงกับชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของมนุษย์จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ “ภูมิวัฒนธรรม” ที่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมในอดีตและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันจากปัจจัยต่างๆ ในฐานความคิดซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตวัฒนธรรมของมนุษย์ในมิติต่างๆ อันจะเป็นรากฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งสภาพแวดล้อมของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่นอันหลากหลาย หรือเป็นความรู้พื้นฐานสำคัญที่นำไปใช้ในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นแก่สถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดจนเพื่อการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและเกิดจากความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ความหมายของภูมิวัฒนธรรม
ภูมิวัฒนธรรม (Cultural Landscape) คือความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม ซึ่งในบริบททางสังคมวัฒนธรรมหมายถึง ลักษณะทางภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์
(Geographical Landscape) ในอาณาบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เช่น บริเวณป่าเขาลำเนาไพร ท้องทุ่ง หนองบึง แม่น้ำลำคลอง หรือปากอ่าวชายทะเล อันสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในท้องถิ่น จนเป็นที่รู้จักร่วมกันและมีการกำหนดนามชื่อเป็นสถานที่ต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักร่วมกัน ในลักษณะที่เป็นแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน และอาจสร้างเป็นตำนาน (Myth) ขึ้นมาเพื่ออธิบายความเป็นมาและความหมายความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสถานที่และท้องถิ่นนั้นๆ

ดังนั้นในภูมิวัฒนธรรม จึงประกอบด้วยองค์ประกอบในการศึกษาที่สำคัญคือ
1. ภูมิศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ (Cultural Landscape) ลักษณะของภูมิประเทศที่สำคัญในการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของมนุษย์ เช่น หุบ แอ่งที่ราบ ลุ่มน้ำ ภูดอย บุ่งทาม ฯลฯ ซึ่งจะปรากฏเป็นชื่อสถานที่ หรือชื่อบ้านนามเมือง เช่น สันทราย สันป่าตอง ซับจำปา ชอนสารเดช มาบตาพุด ภูกระดึง พุเตย ฯลฯ เป็นจุดเด่นสำคัญของชาวบ้านในท้องถิ่นหรือนักเดินทางที่เข้ามาในพื้นที่ อย่างเช่น แหลมสิงห์ ซึ่งมีโขดหินรูปคล้ายสิงห์ (ถูกฝรั่งเศสยิงเสียหายไปแล้ว) ตรงปากน้ำจันทบุรี เขาย้อย เขาอีโก้ ซึ่งมีรูปร่างแปลกตากว่าเขาลูกอื่นที่เพชรบุรี
2. นิเวศวัฒนธรรม (Cultural Ecology) หมายถึงพื้นที่เฉพาะซึ่งมนุษย์สร้างบ้านเมืองขึ้นมาเป็นท้องถิ่นต่างๆ แต่ละแห่งย่อมไม่เหมือนกัน นิเวศวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นนั้นเป็นการมองจากคนภายในที่มีต่อสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด เห็นความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของคนที่อยู่ร่วมกันหลายชุมชนในพื้นที่เดียวกัน จากนั้นมีการกำหนดหรือสร้างเป็นองค์ความรู้ในการดำเนินชีวิต สร้างกติกาในการอยู่ร่วมกัน สร้างประเพณี ความเชื่อ ในพื้นที่เดียวกัน
3. ชีวิตวัฒนธรรม (Cultural Way of Life) หรือโครงสร้างที่อยู่ในชีวิตประจำวัน อันเป็นวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนเดียวกัน ซึ่งประกอบไปด้วยโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น การเป็นเครือญาติ การเป็นกลุ่มสังคมต่างๆ

ดังนั้นการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทาง “ภูมิวัฒนธรรม” จึงต้องศึกษาสภาพแวด
ล้อมในอดีตและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันจากปัจจัยต่างๆ ในวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นๆ ที่เชื่อมโยงกับชีวิตวัฒนธรรมของมนุษย์ในมิติต่างๆ

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และอำนาจเหนือธรรมชาติ
ในโครงสร้างทางสังคมโดยพื้นฐานของมนุษย์มีองค์ประกอบของความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดการเกี่ยวพันของผู้คนภายในอยู่ 3 ประการคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันทำให้เกิดสำนึกร่วมของการอยู่รวมเป็นกลุ่มภายในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน
ในภูมิวัฒนธรรมต่างๆ นั้น ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงและเป็นพลวัตรเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการพิจารณาสังคมของมนุษย์ในท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของคนกับอำนาจเหนือธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่สะท้อนให้แลเห็นภูมิจักรวาลที่อยู่เบื้องหลังของภูมิวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคม
และในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอำนาจเหนือธรรมชาติโดยมีสัญลักษณ์เป็นศูนย์กลางจักรวาลของผู้คนในท้องถิ่นนี้ จะเชื่อมโยงและเกาะเกี่ยวให้คนในท้องถิ่นที่อยู่ต่างชุมชนและต่างเผ่าพันธ์อยู่ร่วมกันในบ้านเมืองเดียวกันได้อย่างราบรื่น
นอกจากจะเป็นระบบสัญลักษณ์ที่เป็นศูนย์กลางจักรวาลของท้องถิ่นแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยการมีอำนาจเหนือผู้คน ที่ดิน ท้องน้ำ สภาพแวดล้อม และทรัพยากรต่างๆ ของท้องถิ่นด้วย
อำนานเหนือธรรมชาติเหล่านี้ทำให้เกิดจารีตประเพณี พิธีกรรม และรูปแบบเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ทำให้คนร่วมท้องถิ่นเดียวกันต้องเชื่อฟังและปฎิบัติตาม
องค์ประกอบของความสัมพันธ์ทั้งสามประการทำให้เห็นและเข้าใจได้ว่า “ภูมิวัฒนธรรมและนิเวศวัฒนธรรม” นั้นมีความหมายลึกลงไปถึงการเป็นระบบสัญลักษณ์ (Symbol) และภาพพจน์ (Image) ของภูมิจักรวาล (Cosmology) ในการรับรู้ของคนในท้องถิ่นด้วย (Perception)

บ้านเมืองในนิเวศวัฒนธรรมอันหลากหลายและการสืบทอดความรู้ผ่านระบบสัญลักษณ์
ในสภาพนิเวศตามธรรมชาตินั้น ประกอบด้วย แม่น้ำ ลำน้ำใหญ่น้อย ห้วย หนอง คลอง บึง ซึ่งมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ความเข้าใจเรื่องพลวัตรของธรรมชาติแวดล้อมนั้นทำให้ไม่มีการตัดความสัมพันธ์ในระบบนิเวศจากภูเขาสูง อันเป็นต้นน้ำลำธารไปจนถึงลำห้วยสาขา แม่น้ำและแหล่งพักน้ำตามหนองบึงที่ไหลหมุนเวียนตามฤดูกาล การเชื่อมโยงของระบบนิเวศเหล่านี้ทำให้เกิดความสมดุลย์และรักษาคุณภาพของระบบนิเวศอันหลากหลายที่มิใช่มีเพียง “น้ำ” หรือ “ปลา” แต่คือสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติรวมทั้งมนุษย์ด้วย
ผู้คนในสมัยโบราณโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นจำนวนมาก นิยมสร้างบ้านแปงเมืองตั้งถิ่นฐานตามลำน้ำเล็กๆ และริมหนองคลองบึงขนาดใหญ่ เพื่อไม่ต้องกังวลต่อการพัดพาของน้ำที่ไหลแรงที่อาจทำให้บ้านเรือนล่มจมเสียหาย และปรากฏอยู่ในตำนานหลายเรื่องเกี่ยวกับการสูญหายของบ้านเมืองจากภัยธรรมชาติเช่นนี้
ริมหนองคลองบึงต่างๆ จะมีระบบนิเวศแบบน้ำท่วมที่ขึ้นและลงตามฤดูกาล มีการปลูกข้าวทำนาแซงหรือนาทามที่มีการสร้างแนวคันดินหรือทำนบกักน้ำเพื่อปลูกข้าว และเก็บเกี่ยวเมื่อน้ำลด หรือหากปีใดน้ำมากก็จะเสียข้าวไป แต่ก็ได้อาหารพวกปลาต่างๆ มาทดแทน
ในนิเวศวัฒนธรรมเหล่านี้ จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควบคุมการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยมีการกำหนดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ล่วงล้ำไม่ได้ และใช้ในการทำพิธีกรรมตามประเพณีในฤดูกาลที่เกี่ยวข้อง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้จะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองและให้คำทำนายอันเป็นหลักประกันในอนาคต เพื่อปกป้องมนุษย์ในธรรมชาติที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ที่มนุษย์ผูกพันร่วมกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในท้องถิ่นเข้าใจร่วมกันและจดจำ รวมทั้งเล่าสืบต่อกันมาในพื้นที่นั้นๆ
ดังนั้นความเข้าใน “ภูมิวัฒนธรรม” นั้นมีความหมายสำหรับคนในท้องถิ่น เพราะสร้างขึ้นมาจากคนในท้องถิ่น ผ่านตำนาน เรื่องเล่าต่างๆ ซึ่งเป็นระบบสัญลักษณ์ ไม่ใช่เล่าเรื่องตรงๆ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เมื่อผ่านกาลเวลานานเข้าก็มีการแปรเปลี่ยนความหมายแตกต่างไปได้บ้าง
ดังนั้นการศึกษาภูมิวัฒนธรรมจึงต้องมีการแปลความหมายเหล่านั้นตามความคิดและจินตนาการจากมุมมองของผู้คนในอดีต (ศึกษาความคิดของผู้คนในท้องถิ่นเหล่านั้น) จึงจะเห็นความหมายและความสำคัญที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ตำนาน คือเรื่องเล่าจากคนรุ่นหนึ่ง ผ่านสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง มีทั้งที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และมีทั้งที่ผ่านการบอกเล่าจากความทรงจำ โดยถ่ายทอดปากต่อปากในท้องถิ่นอย่างสืบเนื่อง ในตำนานเหล่านี้มักจะกล่าวถึงความเป็นมาของสถานที่สำคัญๆ ในท้องถิ่น และไม่ได้มีการรับรู้ที่หยุดนิ่ง หากมีการเปลี่ยนแปลงในความหมายและความสำคัญผ่านผู้คนและช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ตลอดเวลา อีกทั้งเมื่อมีการขยายเส้นทางการค้าหรือเส้นทางคมนาคม และพื้นที่ในการตั้งถิ่นฐานบ้านเมือง ก็มีการกำหนดนามชื่อใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
ภูมิวัฒนธรรมจากตำนานจึงไม่ใช่เรื่องที่หยุดนิ่ง แต่จะมีการทบทวน บอกเล่าซ้ำไปซ้ำมาและสร้างความหมายขึ้นใหม่ตลอดเวลา ซึ่งมีความหมายต่อผู้คนภายในที่เห็นความสัมพันธ์ในสามรูแบบคือ ในระหว่างผู้คน ผู้คนกับธรรมชาติ และผู้คนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ส่วนคนจากภายนอกที่ไม่เข้าใจนั้นก็ต้องเรียนรู้ผ่านระบบสัญลักษณ์ที่ปรากฏ จึงจะเข้าใจและรับรู้ความสัมพันธ์ดังกล่าว

ภูมิทัศน์แห่งความศักดิ์สิทธิ์
ในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยพื้นฐานแต่เดิม มักจะมีความคิดและความเชื่อที่ว่า แผ่นดิน ป่าเขา แม่น้ำ หนองบึง และลำห้วยในภูมิประเทศที่เป็นภูมิวัฒนธรรมของคนภายใน คือสมบัติของอำนาจเหนือธรรมชาติในจักรวาล ผู้คนคือผู้อยู่อาศัย หาได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริงไม่ นั่นหมายถึงการยกอำนาจในการดูแลควบคุมสมบัติสาธารณะของท้องถิ่นอันได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้แก่อำนาจเหนือธรรมชาตินั่นเอง การแบ่งแยกส่วนหนึ่งส่วนใดเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวหรือเพื่อกิจการอื่นๆ ที่ผิดธรรมชาติ คือ การละเมิด ผิดต่อสังคมและผู้คนที่อยู่ร่วมกัน
เพราะแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารที่ใช้ร่วมกัน จึงต้องมีการจัดสรรกันอย่างหลวมๆ แต่ยุติธรรม ไม่ให้มีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้จนเกินไป และไม่มีมีสิ่งใดจะดูแลได้ดีไปกว่ามอบอำนาจนี้ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติดูแล
มีการกำหนดแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติให้เป็นศูนย์กลางภูมิจักรวาลท้องถิ่น เพื่อให้ผู้คนได้มาประกอบพิธีกรรมร่วมกัน เกิดสำนึกความเป็นผู้คน บ้านเมืองและท้องถิ่นเดียวกันขึ้นมา โดยเฉพาะภูเขาที่สำคัญของท้องถิ่น เพราะมีความโดดเด่นกว่าลักษณะภูมิประเทศอื่นใด มักจะสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดและจักรวาลที่มาจากเบื้องบน ในขณะที่ผืนน้ำและแผ่นดินเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่มาจากเบื้องล่าง
ภูเขาที่โดดเด่นมีรูปลักษณะพิเศษ มักจะถูกกำหนดให้เป็นที่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์สากลทั่วโลก เช่น เขารังแมว เป็นที่สถิตของเทพเจ้าแห่งแคว้นจามเหนือที่หมี่เซิน เวียตนาม เขาถมอรัตน์ ที่ลุ่มน้ำป่าสัก สูงเด่นเป็นประธานเหนือเมืองศรีเทพที่น่าจะเป็นศูนย์กลางของแคว้นศรีจนาศะในสมัยทวาราวดี ในลุ่มน้ำปิงตอนบนอันเป็นที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ก็มีเขาดอยปุยและดอยสุเทพเป็นประธานของเมือง ในขณะที่บริเวณต้นน้ำปิงมี ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นที่สถิตของเจ้าหลวงคำแดง ผู้เป็นผีใหญ่เหนือบรรดาผีบ้านผีเมืองทั้งหลายในล้านนา ในแคว้นจำปาสักของลาวที่ตั้งอยู่ริมน้ำโขงมี “เขาภูเก้า” เป็นประธานเหนือเขาทั้งปวง
และลำธารน้ำที่ไหลจากยอดเขาเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมือง มีการกักเก็บน้ำเป็นระบบระเบียบตามลักษณะภูมิประเทศนั้นๆ สายน้ำที่ไหลลงจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้รับการดูแลให้เกิดความสะอาดเพื่อใช้ในการบริโภคอุปโภค คือเป็นทรัพยากรที่ใช้ร่วมกัน
ความเชื่อในเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น นับเป็นที่มาของการสร้างศาสนสถานแบบสถูปเจดีย์หรือเทวาลัยที่ชาวบ้านเรียกว่า “ธาตุ” และ “ปราสาท” ให้เป็นสัญลักษณ์ทางภูมิทัศน์ในภูมิประเทศที่ไม่มีเขาและที่สูงแต่เป็นที่ราบลุ่ม ทุ่งนาและแม่น้ำลำคลองเพื่อให้ผู้คนได้เห็นแต่ไกล
ดังนั้นตำนานพระธาตุเจดีย์ต่างๆ ที่ปรากฏทั่วไปทุกภูมิภาคในประเทศจึงมีความหมายเป็นอย่างมากที่ทำให้คนได้รู้ถิ่นกำเนิดบ้านเมืองของตนเอง เพราะเป็นสิ่งที่ผู้คนในท้องถิ่นสร้างขึ้น ซึ่งจะต้องมีการแปลความในระบบสัญลักษณ์ที่ปรากฏในตำนานเหล่านั้น
ซึ่งพื้นฐานของมนุษย์ในระบบดั้งเดิมนั้นเห็นว่าพื้นที่สาธารณะเป็นของส่วนรวม ผ่านตัวแทนในนาม พระผู้เป็นเจ้า หรือเป็น ของหลวง ของพระมหากษัตริย์ ในยุคหนึ่ง แต่มนุษย์ก็เริ่มสร้างความเชื่อใหม่ๆ เพื่อท้าทายอำนาจศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยควบคุมการอยู่ร่วมกันเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ซึ่งปรากฏในช่วงปฎิวัติอุตสาหกรรมทางฝ่ายตะวันตกที่มีความคิดควบคุมธรรมชาติและมนุษย์ด้วยกันเอง ไปจนถึงปรากฏการณ์ในยุคอาณานิคมและโลกาภิวัฒน์ตามลำดับ ในขณะที่พื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ อีกจำนวนมากไม่ได้เชื่อเช่นเดียวกัน จึงเกิดความลักลั่นขัดแย้งของความเชื่อดั้งเดิมที่ยอมต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์และปรับตัวกับโลกความเชื่อที่ต้องการควบคุม และเชื่อว่ามนุษย์สามารถควบคุมโลกโดยตัดขาดมิติความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติออกไป
สังคมแห่งความหลากหลายต้องเข้าใจภูมิวัฒนธรรม
การขาดองค์ความรู้เรื่อง “ภูมิวัฒนธรรม” ทำให้คนไทยขาดความรู้และความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ตั้งแต่ในระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ทำให้ไม่เข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยที่มีความหลากหลายแตกต่างทั้งทางชีวภาพ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม จึงมักเกิดความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เช่น ปัญหาการแย่งชิงฐานทรัพยาการของท้องถิ่นโดยหน่วยงานรัฐหรือนายทุนที่ละเมิดต่อกฏเกณฑ์ที่เคยมีอยู่ร่วมกัน
แม้การเปลี่ยนแปลงระบบวิธีคิดจากการยอมรับโอนอ่อนในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยไม่ให้เกิดความขัดแย้งจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในหลายพื้นที่ หลายท้องถิ่น แต่ก็ถือว่ายังไม่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน เพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความอ่อนแอเป็นทุนเดิม มิติความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปในยุคปัจจุบันคือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด แต่กลับมีรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
เช่นที่ “หนองหานกุมภวาปี” อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี อันเป็นพื้นที่ซึ่งจะกระทบกระเทือนจากโครงการขุดเหมืองแร่โปแตสของบริษัทต่างชาติที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลไทย การทำแร่โปแตสจะทำให้ชั้นหินเกลือขึ้นมาตามแร่ที่ขุดเป็นจำนวนมหาศาล อาจทำให้เกิดสภาพดินเค็มอย่างควบคุมไม่ได้ และเมื่อมีการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นของชาวบ้านในลักษณะประชาพิจารณ์ขึ้น ก็มีเด็กนักเรียนของโรงเรียนท้องถิ่นได้ขึ้นมาอภิปรายว่า การขุดแร่โปแตสที่ทำให้เกลือขึ้นมาเป็นจำนวนมากนั้นเป็นเสมือนการกินกระรอกด่อน (เผือก) ในตำนานผาแดง-นางไอ่ เพราะกระรอกด่อนหรือกระรอกขาวนั้นหมายถึงเกลือที่อยู่ใต้ดิน จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวิบัติเหมือนในตำนานที่ผู้คนพากันกินกระรอกเผือกแล้วบ้านเมืองล่มจม ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการบอกเล่าและความเชื่อที่ถูกปรับ แต่ยังคงความหมายเดิมที่ไม่ได้สูญหายไปแต่อย่างใด
ทุกวันนี้การรับรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมขาดหายไป ผู้คนในสังคมปัจจุบันที่เป็นคนรุ่นใหม่มีชีวิตอยู่ในสังคมอุตสาหกรรมอาจไม่รู้จักและไม่เข้าใจในรากเหง้าของแผ่นดินและผู้คน เพราะมองแต่สภาพแวดล้อมใกล้ตัวในปัจจุบันและอนาคต สภาพแวดล้อมทางภูมิวัฒนธรรมแทบทุกแห่งในทุกภูมิภาคได้รับผลกระทบกระเทือนจากการปรับเปลี่ยนภูมิประเทศที่เป็นสังคมเกษตรมาเป็นอุตสาหกรรมอย่างยิ่งรวมทั้งผู้คนท้องถิ่นก็เคลื่อนย้ายออกไปอยู่ตามที่ต่างๆ จนแทบไม่อาจให้ข้อมูลถึงความเป็นมาในอดีตได้
และการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมการเมืองวัฒนธรรมซึ่งมองอดีตอย่างหยุดนิ่งและเน้นแต่เรื่องปัจจุบัน อาจไม่ใช่คำตอบที่หยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การล่มสลายของสังคมท้องถิ่นได้ หากขาดเสียซึ่งมิติในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมและอำนาจศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งเคยประคับประคอบสังคมมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย


กรอบแนวคิด
มโนทัศน์เรื่องวัฒนธรรม
สังคมมนุษย์แต่ละสังคมมักมีความแตกต่างกันในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา และค่านิยมต่างๆ แต่ภายใต้ความแตกต่างนี้ สังคมทุกหนแห่งทั่วโลกมีลักษณะพื้นฐานที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่งก็คือ สังคมเป็นการรวมตัวกันเพื่อความอยู่รอดของสมาชิก การที่สังคมจะดำเนินไปได้ด้วยดีนั้น พฤติกรรมของสมาชิกแต่ละคนจะต้องเป็นสิ่งที่คาดคะเนได้ คือแต่ละคนต้องคาดคะเนได้ว่า คนอื่นจะมีพฤติกรรมอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ ในสังคมมนุษย์ และความสามารถในการคาดคะเนพฤติกรรมของผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง เป็นผลมาจากการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม

ดังนั้น พูดง่ายๆ คือ วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการอยู่รอดร่วมกันของมนุษย์

1. วัฒนธรรมเป็นความคิดร่วม (shared ideas) และค่านิยมทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดมาตรฐานของพฤติกรรม คนในวัฒนธรรมเดียวกันจะสามารถคาดคะเนพฤติกรรมของผู้อื่นในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ซึ่งทำให้พฤติกรรมของเขามีความสอดคล้องต้องกันกับผู้อื่น

2. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้ (culture is learned) ทีละเล็กละน้อยจากการเกิดและเติบโตมาในสังคมแห่งหนึ่ง วัฒนธรรมเปรียบเหมือน “มรดกทางสังคม” ได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งโดยผ่านกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม หรือกระบวนการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมทั้งการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ ครูอาจารย์ และประสบการณ์ต่างๆ ที่มนุษย์ได้รับสั่งสมมาจากการเป็นสมาชิกของสังคม จากกระบวนการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมนี้ มนุษย์สามารถเข้าใจได้ว่าตนควรมีพฤติกรรมเช่นไรในสถานการณ์ต่างๆ พฤติกรรมเช่นไรที่คนยอมรับว่าดีงามและถูกต้อง มนุษย์ก็จะรับเอาทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อที่สังคมยอมรับมาเป็นของตน

3. วัฒนธรรมมีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์ (symbol) พฤติกรรมของมนุษย์มีต้น
กำเนิดมาจากการใช้สัญลักษณ์ ชีวิตประจำวันของเราเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินตรา สัญญาณไฟจราจร หรือสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่นพระพุทธรูป เป็นต้น สัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ใช้คือ ภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือสื่อความหมายระหว่างกัน นอกจากนั้นภาษาและระบบสัญลักษณ์อื่นๆ ยังช่วยให้มนุษย์สามารถเก็บรวบรวมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติอย่างเป็นระบบ และสามารถถ่ายทอดความรู้นั้นไปยังคนรุ่นหลังต่อไป

4. วัฒนธรรมเป็นองค์รวมของความรู้และภูมิปัญญา วัฒนธรรมมีหน้าที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ เช่น สอนมนุษย์ให้รู้จักหาอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ วางกฏเกณฑ์ให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผนเพื่อให้สังคมทำงานไปได้อย่างมีระบบ นอกจากนั้น วัฒนธรรมยังช่วยให้มนุษย์ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม เป็นพื้นฐานของการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเพื่อความเจริญและความอยู่รอดของมนุษย์

5. วัฒนธรรม คือกระบวนการที่มนุษย์กำหนดนิยามความหมายให้กับชีวิตและสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เช่น มนุษย์ทุกหนแห่งในโลกพยายามกำหนดนิยามความหมายของชีวิต และกระบวนการนิยามความหมายให้กับชีวิตอาจออกมาในรูปของความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม เทพปกรณัม จักรวาลวิทยา ฯลฯ เมื่อมนุษย์ในสังคมแห่งหนึ่งพยายามกำหนดนิยามความหมายของอำนาจ กระบวนการกำหนดความหมายดังกล่าวก็ย่อมกลายมาเป็นการสร้าง “แนวความคิด” พื้นฐานของระบบการเมืองการปกครองของสังคมนั้น ในกระบวนการกำหนดนิยามความหมายให้กับชีวิตและสิ่งต่างๆ นี้เอง มนุษย์ได้สร้าง “สถาบัน” หรือ “องค์กร” ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่รองรับการตีความดังกล่าว เช่น เมื่อมีการกำหนดนิยามความหมายของอำนาจ ก็ย่อมมีการจัดตั้งองค์กรหรือสถาบันทางการเมืองขึ้นมาตามการตีความดังกล่าว การตีความในทุกๆ ด้าน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงหรือการตีความใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบและเนื้อหาของสถาบันทางสังคมอีกด้วย

6. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมีสาเหตุหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นผลมาจากการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (diffusion) เช่น ความคิดและค่านิยมที่มาจากวัฒนธรรมอื่น ซึ่งอาจส่งอิทธิพลก่อให้เกิดการเปลี่นแปลงและการยอมรับในวัฒนธรรมของเรา การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมยังอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นความพยายามของมนุษย์ในการควบคุมธรรมชาติและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเทคโนโลยีทางการผลิตเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย หากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปจนกระทั่งวัฒนธรรมและประเพณีปฏิบัติไม่อาจเปลี่ยนแปลงตามได้ทัน ก็อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ความล้าหลังทางวัฒนธรรม” หรือ “วัฒนธรรมล้า” (culture lag)และทำให้มนุษย์ในสังคมนั้นเกิดความรู้สึกแปลกแยก หรืออาจมีผลกระทบรุนแรงถึงขั้นทำให้วัฒนธรรมเกิดการแตกสลายไปดังกรณีของชนเผ่า เยอร์ โยรอนต์ (Yir Yoront) ในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งในที่สุดวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมของชาวเยอร์ โยรอนต์ ก็แตกแยกล่มสลายไป เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนภายนอกซึ่งไม่เข้าใจกลไกการทำงานของวัฒนธรรม ในบางครั้ง การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วและฉับพลันจะนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าผลดี ดังบทเรียนจากการศึกษาวัฒนธรรมของชาวเยอร์ โยรอนต์นี้



ชื่อบ้านนามเมือง (place name) :
ขนบชาวบ้านในการตั้งชื่อสถานที่

1. การตั้งชื่อตามภูมิลักษณ์ คือการตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ของสถานที่นั้นๆ โดยยึดเอาลักษณะทางกายภาพ หรือลักษณะทางภูมิศาสตร์ของสถานที่เป็นสำคัญ เช่นเรียก ห้วย หนอง คลอง บึง และยังมีการเรียกตามภาษาถิ่น เช่น คนอีสานในท้องถิ่นลุ่มน้ำชีเรียกหนองน้ำที่กว้างและยาว ต่อมาตื้นเขินและขาดเป็นห้วงๆ ว่า กุด เช่น กุดกอก กุดน้ำใส เรียกที่ลุ่มกว้างใหญ่ แต่ไม่ลึกมีน้ำขังตลอดปีว่า เลิง เช่น เลิงนกทา หนองอีเลิง เป็นต้น เรียกพืดหินที่กั้นทางน้ำไหลเวลาน้ำหลากน้ำก็ไม่ท่วมว่า แก้ง เช่น แก้งตูม

2. การตั้งชื่อตามลักษณะเด่นของสถานที่ เช่น หนองน้ำที่มีต้นกระทุ่มขึ้นอยู่เรียงรายเรียก หนองกระทุ่ม กุดที่มีน้ำใสกว่าที่อื่นเรียก “กุดน้ำใส” หนองน้ำที่มีรูปร่างโค้งงอเรียกว่า “หนองโง้ง” การเรียกชื่อแบบนี้ไม่ซับซ้อน แต่กลายเป็นร่องรอยหลักฐานที่แสดงถึงสภาพดั้งเดิมทางกายภาพและภูมินิเวศของสถานที่นั้นๆ ที่ปัจจุบันอาจไม่ได้เห็นอีกแล้ว


3. การตั้งชื่อตามลักษณะของการใช้ประโยชน์ ที่สาธารณะประโยชน์ ทำเลเลี้ยงสัตว์ บุ่งเลี้ยงสัตว์

4. การเรียกชื่อตามตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของท้องถิ่น สถานที่ทุกแห่งทั้งที่เกิดตามธรรมชาติและจากฝีมือมนุษย์ จะมีเรื่องราว หรือ เรื่องเล่า เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ อยู่เสมอ
เรื่องเล่าหรือตำนาน จัดเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะที่มีบทบาทสำคัญยิ่งของสังคมในอดีต เพราะนอกจากจะมีคุณค่าด้านการให้ความบันเทิงแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงและร่องรอยบางอย่างทางประวัติศาสตร์ของชุมชน เรื่องเล่าหรือตำนานเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่ชาวบ้านใช้อธิบายความเชื่อและความรู้ของพวกเขา ในการเข้าไปใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าว ทั้งยังเป็นตัวกำหนดควบคุมพฤติกรรมของคนในท้องถิ่นให้เป็นไปตามปทัสถานของชุมชน รวมไปถึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการและควบคุมการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น และยังแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายทางสังคมอันเป็นเครือข่ายทางวัฒนธรรมร่วมกัน เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อร่วมกันที่มีต่อตำนานและเรื่องเล่านั้นๆ


ตำนาน (myth)

ความเป็นมาของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษานั้น มักเริ่มต้นด้วยประวัติที่เป็นนิยายปรัมปรา อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและระบบความเชื่อในสังคมของตนก่อน เรื่องเหล่านี้มักจะเกี่ยวกับ
1. กำเนิดโลก กำเนิดของท้องถิ่น บ้านเมือง สิ่งแวดล้อม เผ่าพันธุ์ มนุษย์และสัตว์
2. ผู้ที่บันดาลให้เกิดสิ่งเหล่านี้มักได้แก่ พระเจ้า เทพเจ้า ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือไม่ก็วีรบุรุษที่มีเวทย์มนต์คาถา
นิยายปรัมปราหรือตำนานแบบนี้ มีตัวอย่างเช่น เรื่องพระเจ้าสร้างโลกในศาสนาคริสต์ ประวัติของเทพเจ้าและวีรบุรุษในศาสนาของชาวกรีกโรมัน (หรือที่อื่นๆ) เรื่องกษัตริย์วู่ตี่ของจีน เรื่องการเสด็จมาโปรดสัตว์ของพระพุทธเจ้าตามท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศไทยแล้วทรงประทับรอยพระพุทธบาท หรือทำนายการเกิดของเมืองและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเกี่ยวกับชาดก เรื่องการสร้างเมืองของพวกฤาษีและพญานาค หรือของวีรบุรุษต้นตระกูล เช่น ขุนบรม ขุนไล ขุนเจือง พระร่วง ท้าวอู่ทอง เป็นต้น

ตำนานพระธาตุประจำเมืองต่างๆ ในล้านนา ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ตำนานพระบาทแต่งขึ้นโดยพระสงฆ์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 เนื้อเรื่องมักกล่าวถึงการเสด็จไปตามสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธองค์เพื่อทรงพยากรณ์ว่าจะเกิดเมืองที่ตั้งมั่นด้วยพระพุทธศาสนา มีการประดิษฐานพระบรมธาตุของพระองค์และยังทรงเปลี่ยนชาวพื้นเมืองให้หันมานับถือศาสนาพุทธ เมื่อบ้านเมืองต่างๆ มีตำนานพระธาตุที่คล้ายคลึงกัน นอกจากจะทำให้ผู้คนรับรู้ถึงความสำคัญของพระธาตุในทิศทางเดียวกันแล้ว ความเข้าใจที่ตรงกันยังช่วยให้ผู้คนมีสำนึกร่วมทางวัฒนธรรมร่วมกันอีกด้วย

สาระสำคัญของตำนานหรือนิยายปรัมปราก็คือ เป็นเรื่องราวที่ประชาชนที่เป็นเจ้าของเชื่อว่าเป็นจริงเหมือนกับประวัติศาสตร์ (1) ผิดกันแต่เพียงว่าไม่มีลำดับเวลาที่แน่นอน(2)
นิยายปรัมปราหรือตำนาน ต่างจากนิทานพื้นบ้าน (folktales) ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ(3) ซึ่งคนในสังคมที่เป็นเจ้าของตำนานหรือความเชื่อนั้น เชื่อมั่นว่าเป็นจริง และเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่นเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล หรือนิทานชาดกของสังคมชาวพุทธ เมื่อเชื่อว่าเป็นจริงและศักดิ์สิทธิ์ ตำนานจึงกลายเป็นแผนผังหรือกฏเกณฑ์ที่กำหนดพฤติกรรมร่วมทางสังคมของมนุษย์(4) เช่น ฤดูกาลในการทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า หรือเซ่นผี ซึ่งมักจะมีกำหนดไว้ในตำนานว่าจะต้องทำเมื่อใด และเพราะเหตุใดต้องทำ หรือไม่ควรทำอะไร และทำไม
เรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในท้องถิ่นต่างๆ ของไทย นับเป็นความเชื่อหรือตำนานอย่างหนึ่งในสังคมที่นับถือพุทธศาสนาคติมหายาน ซึ่งปัจจุบันก็ยังเชื่อกันอยู่ เช่น รอยพระพุทธบาทสระบุรี และที่อื่นๆ ซึ่งประชาชนส่วนมากเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เนื่องมาจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น และเกิดความเลื่อมใสศรัทธาพากันมากราบไหว้บูชากันตามฤดูกาลที่กำหนด ความเชื่อเรื่องตำนานนี้ จึงมีความสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมร่วมของประชาชนในสังคมชนบทเป็นอย่างมาก

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ความเชื่อดั้งเดิมก่อนการนับถือศาสนาพุทธ ถือว่า ภูเขาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน มียอดสูงขึ้นไปสู่ฟ้า เสมือนเป็นตัวเชื่อมโลกใต้ดิน ผืนแผ่นดิน และฟ้า เข้าด้วยกัน จึงเป็นสถานที่พิเศษให้วิญญาณของบรรพบุรุษไปพำนัก
ศาสนาพุทธก็ให้ความสำคัญกับภูเขาเช่นกัน โดยเชื่อว่าที่ศูนย์กลางจักรวาล มีภูเขาลูกหนึ่งเป็นแกนอยู่ คือ เขาพระสุเมรุ เมื่อพุทธศาสนาแพร่เข้ามา จึงมีการกลืน ความเชื่อเรื่องภูเขาเข้าด้วยกัน โดยยังคงให้ความสำคัญกับภูเขา แต่ไม่ได้ถือว่าภูเขาเป็นที่สถิตของวิญญาณบรรพบุรุษอีกต่อไป เปลี่ยนให้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุเจดีย์บนยอดเขาแทน เช่น การสร้างพระธาตุเจดีย์ไว้บนดอยสุเทพ เป็นต้น
ดอยสุเทพ เดิมชื่อดอยอุจฉุบรรพต เป็นที่อยู่ของย่าแสะและลูกชายซึ่งเป็นชาวพื้นเมือง ไม่เคยนับถือศาสนาพุทธ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมายังดอยนี้ เกิดความเลื่อมใสจึงนำอาหารมาใส่บาตร ส่วนลูกชายก็ขอบวช แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามวินัยที่เคร่งครัดได้ ขอเพียงเป็นฤาษี ได้ชื่อว่า “ฤาษีวาสุเทพ” แล้วอยู่บนดอยต่อไป ทำให้ดอยนี้ได้ชื่อใหม่ว่า ดอยสุเทวฤาษี หรือ ดอยสุเทพในที่สุด
เราอาจตีความได้ว่า สุเทวฤาษี อาจเป็นหัวหน้าของชนพื้นเมืองที่อยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ในขณะที่ตำนานบางเล่มกล่าวว่า ท่านเป็นบิดาของพระนางจามเทวีด้วย แต่เดิมคนกลุ่มนี้น่าจะเคยนับถือภูเขามาก่อน ต่อเมื่อนับถือศาสนาพุทธจึงมีการสร้างพระธาตุเจดีย์ไว้บนยอดเขา เป็นการผสมผสานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดิมเข้ากับศาสนาพุทธที่แพร่มาที่หลังอย่างกลมกลืน
ภาพลายคำในวิหารวัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ เล่าเรื่องพระยามังราย กษัตริย์ต้นราชวงศ์มังรายทำพิธีไหว้ “ปู่แสะย่าแสะ” และผีบรรพบุรุษที่เชื่อว่าสิงสถิตอยู่ที่ดอยสุเทพ ตำนานเล่าว่าปู่แสะย่าแสะเป็นยักษ์ จับคนกินเป็นอาหาร กระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้ามาเทศนาสั่งสอน จึงเกิดความละอาย ยอมนับถือพุทธศาสนา แต่ขอกินเนื้อเพียงปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ยอม อย่างไรก็ตาม หลังจากพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ปู่แสะย่าแสะก็ให้มีการเซ่นสังเวยปีละครั้งหนึ่ง จึงมีการจัดงานทุกปีที่ดอยคำ ตำบลแม่เหียะ เชิงดอยสุเทพปัจจุบัน


ชาติภูมิ
แต่โบราณนับพันปี ดินแดนที่เป็นประเทศไทยเรียกว่า “สยามประเทศ”

1. มีหลักฐานทั้งเอกสารจากภายในและภายนอกกล่าวถึง เช่น ในสมัยอยุธยา และกรุงเทพฯ ชาวต่างชาติก็เรียกว่า ประเทศสยาม
2. เพิ่งมามีการเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (2482) ซึ่งทำให้เกิดความสับสนและปัญหาตามมามาก เพราะ:
- ชื่อประเทศสยาม และการเป็นคนสยาม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทยทั้งหมด มี
ชนหลายเผ่าพันธุ์หลายภาษา ทั้ง มอญ เขมร ลาว ไทย จีน ฯลฯ รวมถึงชาวต่างชาติตะวันตก เป็นชาวสยามได้เพราะอยู่ในประเทศนี้ ยอมรับนับถือขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศนี้
- การเปลี่ยนชื่อจากสยาม เป็นไทย ทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่า คนในประเทศนี้ทั้งหมดคือคนไทย
- และอีกประการหนึ่งก็คือ กลุ่มชนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย ไม่ได้มีเฉพาะในดินแดนประเทศไทย แต่พบในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน พม่า เวียดนาม ลาว และอินเดีย

สรุป การเปลี่ยนชื่อจาก “สยาม” ที่เหมาะสมลงตัว และสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของ
รัฐและประเทศที่มีผู้คนหลากหลายในเรื่องเผ่าพันธุ์ มาเป็นประเทศไทย จึงเป็นการเอาชื่อมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวหรือตระกูลเดียวมาเป็นชื่อดินแดนหรือประเทศและกลายเป็นบรรพบุรุษของคนทั้งชาติ ซึ่งแท้จริงมีความเป็นมาที่หลากหลาย

สิ่งที่แสดงความเป็นคนไทยคือ
1. การที่คนทั้งชาติพูดภาษาไทยเป็นภาษาหลัก แต่ภาษาไทยก็มิใช่เป็นเพียงภาษาของคนในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่เป็นภาษาของคนตระกูลเผ่าไท-ลาว ที่อยู่นอกประเทศใช้กัน จะมีคนที่พูดภาษาไทยปะปนเป็นพลเมืองอยู่ด้วย (เช่น ชาวไทขาวและไทดำในประเทศเวียดนาม)
2. มีความทรงจำถึงความเป็นมาร่วมกัน มีความเชื่อที่ได้รับการปรุงแต่งให้เป็น
ประวัติศาสตร์ไทยที่คนในประเทศรู้จักและเรียนรู้มาเกือบร้อยปีว่า ผู้คนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยคือเชื้อสายของพวกคนไทหรือไตที่เคลื่อนย้าย จากตอนใต้ของประเทศจีนเข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยราว 700 ปีที่ผ่านมานี้เอง มีหนังสือเรียนอธิบายว่า คนไทยเคยเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในมณฑลยูนนาน จนสามารถตั้งอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นเป็นอาณาจักร
ของคนไทยยั่งยืนอยู่หลายร้อยปี จนกระทั่งเสียให้กุบไลข่าน ทำให้ต้องอพยพหนีเข้ามาในดินแดนประเทศไทย และสามารถขับไล่ขอมที่เคยมีอำนาจแต่เดิมให้ออกไป แล้วสร้างกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังนั้นประวัติศาสตร์สุโขทัยจึงนับเป็นประวัติศาสตร์ยุคต้นของประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทย

แก่นแท้ของประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่อาณาจักรน่านเจ้าจนถึงอาณาจักรสุโขทัยคือ ความพยายามที่จะทำให้เกิดความเข้าใจจนเป็นความเชื่อที่ว่า คนไทยในน่านเจ้าและสุโขทัย คือ บรรพชนทางเชื้อชาติที่คนไทยในปัจจุบันได้สืบสายโลหิตมา จึงเป็นการสร้างสำนึกความเป็นชาตินิยม (nationalism) จากพื้นฐานที่เป็นเชื้อชาตินิยม (racism) ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง เพราะ เป็นสิ่งที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้โดยพันธุกรรมว่าคนไทยในปัจจุบันคือผู้สืบเชื้อสายจากคนไทยสมัยน่านเจ้าและสุโขทัย ในทำนองตรงข้าม ข้อเท็จจริงที่พบจากเรื่องราวและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาถึงกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพฯ สะท้อนให้เห็นว่า ดินแดนประเทศไทยเป็นเสมือนเบ้าหลอมให้คนหลายกลุ่มหลายภาษา หลายเผ่าพันธุ์เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน จนเกิดเป็นบ้านเมืองตามท้องถิ่นต่างๆ มากมาย ทั้งนี้เพราะดินแดนประเทศไทยมีที่ว่างเยอะแต่คนน้อย ทางบ้านเมืองจึงต้องการพลเมืองเพิ่มขึ้น ยอมเปิดโอกาสให้คนที่มีความหลากหลายจากภายนอกเข้ามา prooff คือ:

สมัยสุโขทัยเห็นได้จากศิลาจารึกที่กล่าวว่า เมื่อพระมหากษัตริย์ตีบ้านเมืองได้ ก็ไม่เข่นฆ่าผู้คน แต่จะเอามาเป็นไพร่บ้านพลเมือง นอกจากนั้นยังไม่เก็บภาษีจังกอบ เปิดการค้าขายแบบเสรี ที่จะทำให้พ่อค้าต่างถิ่น เข้ามาค้าขายตั้งถิ่นฐาน

สมัยอยุธยา มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้มีการโยกย้ายถ่ายเทและผสมผสานของผู้คนพลเมืองที่มาจากชาติพันธุ์ต่างๆ นั้นคือ การค้าขายและสงคราม อยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลตั้แต่พุทธศตวรรษที่ 20 มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขาย เช่น มอญ จีน โปรตุเกส พอเกิดสงครามกับพม่าจนเสียกรุงครั้งที่ 1 ก็เกิดความระส่ำระสายในเรื่องประชากร พม่ากวาดต้อนผู้คนไปมาก พวกที่อยู่ก็หลบหนีโยกย้ายไปหาที่ปลอดภัย เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นครองราชย์ ต้องเกณฑ์ขุนนาง ข้าราชการจากพิษณุโลกเข้ามาปฏิบัติราชการในอยุธยาเป็นจำนวนมาก เลยทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นในอยุธยา ซึ่งเป็นคนเมืองเหนือประกอบด้วยกลุ่มคนไทและคนลาว
พอถึงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมและสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เป็นเวลาที่บ้านเมืองสงบ อยุธยากลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลและทางบก มีชนต่างชาติจากภายนอกหลั่งไหลเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ทำให้เกิดพลเมือง ขุนนาง ข้าราชการที่เป็นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนคนกลุ่มเดิมก็ว่าได้ ดังเห็นได้จากรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่แม้แต่ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนก็มีชาวต่างชาติ เช่น จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และมุสลิม เข้ามาปะปน ซึ่งคนเหล่านี้ได้เป็นต้นตระกูลขุนนางในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ตัวอย่างการเสียตระกูลที่วังหน้าแต่ง)

การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มีความยับเยินกว่าครั้งแรก ผู้คนถูกกวาดต้อนไปพม่า ทั้งหลบหนี และล้มหายตายจากมากมาย จนเมื่อสร้างกรุงเทพฯ แล้ว ก็ยังมีคนน้อยอยู่ จึงเปิดโอกาสให้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งหลักแหล่งเป็นพลเมือง เช่นพวกมอญ ที่ลี้ภัยมาจากพม่า มีการกวาดต้อนผู้คนจากลาว เขมร เข้ามาเป็นพลเมืองในเขตหัวเมืองชั้นใน พวกคนจีนและญวนต่างเข้ามาด้วย จนกล่าวได้ว่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น พลเมืองของประเทศส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มใหม่ที่มาจากภายนอก การที่จะหาความสืบเนื่องของกลุ่มชนแต่สมัยอยุธยาตอนต้นลงมาจึงเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้คนที่เรียกว่าคนไทยนั้น เป็นผลิตผลของทั้งการผสมผสานและการเคลื่อนย้ายเข้ามาจากภายนอกเมื่อไม่นานมานี้เอง


อคติเชิงชาติพันธุ์ มนุษย์โดยทั่วไปมักมีความรู้สึกว่าตนเองดีกว่า หรือเหนือกว่าผู้อื่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ แบบแผนพฤติกรรมอันหล่อหลอมเป็น “วิถีชีวิต”ในสังคมวัฒนธรรมของเราดีกว่าหรือเหนือกว่าสังคมวัฒนธรรมอื่น ความรู้สึกทำนองนี้รู้จักกันในนาม อคติเชิงชาติพันธุ์ (ethnocentrism) คือการวัดหรือประเมินคุณค่าของสังคมวัฒนธรรมอื่น โดยใช้บรรทัดฐานของตัวเราเองหรือสังคมวัฒนธรรมของเราเป็นมาตรฐาน เช่น:

a. ชาวฮินดูในอินเดียมองการบริโภคเนื้อวัวของชาวตะวันตกว่าเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงและป่าเถื่อน เพราะในวัฒนธรรมฮินดูนั้นให้ความเคารพวัวประดุจแม่ผู้มีพระคุณ มีกฏเกณฑ์ในศาสนาห้ามฆ่าและบริโภคเนื้อวัว
b. ชาวมุสลิมอาจมองพฤติกรรมการบริโภคหมูของชาวจีนว่าเป็นสิ่งที่น่าสกปรกและน่ารังเกียจ
c. สตรีชาวตะวันตกอาจมองประเพณีของชาวมุสลิมที่อนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้ 4 คนว่าเป็นความเชื่อล้าหลังและละเมิดสิทธิสตรี
d. มาดูในบ้านเราบ้าง ชาวกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยอาจมองชาวเขาที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่มในประเทศไทยด้วยทัศนคติดูหมิ่นดูแคลนว่าเป็นกลุ่มชนล้าหลัง ไร้การศึกษา สกปรก สร้างปัญหาความมั่นคงให้กับประเทศ ฯลฯ ทัศนคติเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอคติเชิงชาติพันธุ์และการถูกยัดเยียดข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่หากมีโอกาสเข้าไปสัมผัส และเรียนรู้วิถีชีวิตและสังคมวัฒนธรรมของชาวเขาเหล่านี้สักระยะ เราอาจเริ่มเข้าใจและชื่นชมกับวิถีชีวิตและสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากเรา เพราะโดยเนื้อแท้ตามความเป็นจริงแล้ว ชาวเขาหลายกลุ่ม เช่น ชาวปากะญอ (กะเหรี่ยง) มีวิถีชีวิตและการทำมาหากินที่เรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ สนุกสนานร่าเริงและรักสงบ นอกจากนั้นยังมีระบบเกษตรที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมการผลิตของปากะญอได้พัฒนาเทคนิควิธีในการผลิตอย่างได้ผลและไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีและวัตถุมีพิษต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อดินและแหล่งน้ำ ชาวปากะญอยังรักและหวงแหนป่า ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร ยาสมุนไพรและต้นน้ำลำธาร ดังนั้นสังคมวัฒนธรรมของชาวปากะญอ และการดำรงอยู่ของชนกลุ่มนี้ จึงไม่เพียงแต่สร้างสีสันอันหลากหลายให้กับสังคมวัฒนธรรมไทยเท่านั้น แต่ชาวเขาเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับสังคมไทยไปพร้อมๆ กัน

อคติเหล่านี้ล้วนเกิดจากการนำเอามาตรฐานและความเชื่อในสังคมแห่งหนึ่งไปใช้
ประเมินคุณค่าในสังคมอีกแห่งหนึ่ง บ่อยครั้งที่อคติเหล่านี้เป็นพื้นฐานก่อให้เกิดความขัดแย้ง การใช้ความรุนแรง การประหัตประหารฆ่าฟันและสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

อคติเชิงชาติพันธุ์เป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นการเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ในสังคมวัฒนธรรมอื่น ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาในเชิงที่เรียกว่า “วัฒนธรรมสัมพัทธ์” (cultural relativism) นั่นคือ การศึกษาสังคมวัฒนธรรมแห่งหนึ่งแห่งใดภายในบริบทของสังคมวัฒนธรรมนั้นๆ ไม่นำเอามาตรฐานของตนเองหรือสังคมแห่งหนึ่งไปใช้วัดสังคมวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่ง พูดง่ายๆ คือ หลีกเลี่ยงการประเมินคุณค่าในแง่ของความดีกว่าหรือเหนือกว่า แต่ให้มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจและการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ความเข้าใจและการยอมรับในความหลากหลาย ช่วยให้เรารู้จักอดทนและอดกลั้นต่อความคิดความเชื่อ และแบบแผนพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากเรา ความเข้าใจยังเป็นพื้นฐานของความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ การยกย่องให้เกียรติและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ภาวะโลกร้อน (Global warming)

ภาวะโลกร้อน หรือภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (climate change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้มาจาก ก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gases) ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลกมาก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้นโลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด และตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศกรองพลังงานจากดวงอาทิตย์ ซึ่งการทำให้โลกอบอุ่นขึ้นเช่นนี้คล้ายกับหลักการของเรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือการกระทำใดๆ ที่เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่นถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วนในล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้นนั้นได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน (โดยสังเขป)
1. ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เช่น ภาวะน้ำท่วม และคลื่นร้อน ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้ยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำไข้มาเลเรีย และไข้เลือดออก ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีผู้ป่วยด้วยโรคมาเลเรีย เพิ่มขึ้นประมาณ 50-80 ล้านคนต่อปี โดยเฉพาะในเขตศูนย์สูตรและเขตร้อน เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. ผลกระทบต่อแหล่งน้ำและการเกษตร ในประเทศไทย มีแนวโน้มว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะทำให้ปริมาณน้ำลดลง (ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งจะมีผลต่อผลผลิตด้านการเกษตร โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และต้องอาศัยปริมาณน้ำฝนและแสงแดดที่แน่นอน รวมถึงความชื้นของดิน และอุณหภูมิเฉลี่ยที่พอเหมาะด้วย
3. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีก 14-90 เซนติเมตร หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 50 ซม. จะมีผลกระทบต่อประชากรโลกประมาณ 92 ล้านคน นอกจากนี้ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นยังก่อให้เกิดคาวมเสียหายต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่ง เช่น การสูญเสียพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด การรุกล้ำของน้ำเค็มเข้าสู่แหล่งน้ำจืดที่จะส่งผลเสียต่อการเกษตร และจากการที่น้ำทะเลหนุนยังจะทำให้เกิดน้ำล้นตลิ่งและท่วมบ้านเรือน ยิ่งไปกว่านั้นการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิยังส่งผลให้ภัยธรรมชาติต่างๆ มีแนวโน้มว่าจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น ภัยแล้ง ไฟไหม้ป่า พายุไต้ฝุ่นโซนร้อน น้ำท่วม การพังทลายของชั้นดินเป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สบายดีรุ่น 5

ดีครับพี่น้อง
หลังจากสอบวิชา LD722 ของ อ.ดร.สุชาติ เสร็จรู้สึกว่าโล่ง สบาย ถึงแม้ว่าจะทำข้อสอบได้ไม่ดีนัก เพราะมองข้ามประจักษ์นิยมและไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ก็แสดงความยินดีกับทุกท่านที่ทำข้อสอบอย่างมีความมั่นใจ ขอให้ทุกท่านสอบผ่าน

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554